ปี 2556 ที่ผ่านมา ไทยมีการผลิตรถยนต์กว่า 2.4 ล้านคัน อยู่ในอันดับ 9 ของโลก และตั้งเป้าว่าภายในปี 2559 การผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงยานยนต์ถูกจับตามองว่าจะเปลี่ยนแปลงทิศทางการลงทุนในไทยหรือไม่ นายชินิชิโร โอกะ ผู้อำนวยการทั่วไป สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่น หรือ JAMA สำนักงานสิงคโปร์ กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ว่าไทยจะเกิดปัญหาการเมืองยืดเยื้อ แต่ล่าสุดจากการประสานงานของจามา กับ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น หรือ JETRO ประเมินว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในไทย ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่มีการลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งจะยังคงเดินหน้าต่อไป รวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ “แม้ว่าขณะนี้การเมืองไทยจะมีปัญหา และอินโดนีเซียนิ่งกว่า แต่ก็คงไม่มีใครย้ายฐานการผลิตไปอินโดนีเซีย เพราะว่ามีการลงทุนในไทยจำนวนมาก และไทยมีฐานค่อนข้างแน่นอยู่แล้ว” สำหรับอินโดนีเซีย มีขนาดตลาดรถยนต์ และการผลิตเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน แต่ยังค่อนข้างห่างจากไทย ประมาณ 1.3 ล้านคัน เช่นเดียวกับยอดขายที่ยังตามหลังไทยด้วยยอด 1.2 ล้านคัน แต่คาดว่าปีนี้จะมียอดขายแซงหน้าไปอยู่ 1.3 ล้านคัน เนื่องจากประเมินว่ายอดขายของไทยจะลดลงจากปัญหาหลายประการ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นใจผู้บริโภค และผลจากโครงการรถคันแรก ที่มีผลกระทบต่อเนื่องมากว่า 2 ปี และยังไม่หมดไปในขณะนี้ ทั้งนี้ อินโดนีเซีย ต้องการที่จะแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์กับไทย โดยพยายามดึงดูดการลงทุนเข้า ประเทศมากขึ้น รวมถึงการเปิดตัวโครงการส่งเสริมที่คล้ายคลึงกับไทย เช่น โกลบอล กรีน คาร์ ที่มีเงื่อนไขแทบไม่ต่างจาก อีโค คาร์ ของไทย รับลงทุนใหม่ อาจชะลอตัว นายโอกะ ยอมรับว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่ยังไม่ได้ลงทุน หรือการลงทุนใหม่ๆ ที่อาจจะต้องจับตาดูสถานการณ์ไปก่อน ถ้ายังไม่นิ่งก็อาจจะยังไม่ลงทุน ซึ่งหากยังยืดเยื้อต่อไปหลายปี ก็จะทำให้การลงทุนเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ดังนั้นจึงต้องการให้ความไม่มั่นคงทางการเมืองหมดไปโดยเร็ว เพราะไม่อย่างนั้นอาจเข้าสู่ภาวะไร้ทางออกได้ ลือ"โตโยต้า-ฮอนด้า"หันลงทุนอินโดฯ ด้านแหล่งข่าวจากสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวการย้ายฐานการผลิตรถยนต์จากไทยไปยังประเทศอื่นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้พบว่าหลายข่าวมาจากเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย เนื่องจากต้องการที่จะแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์กับไทย โดยก่อนหน้านี้ตีข่าวว่า โตโยต้า และฮอนด้า กำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจ เปลี่ยนฐานการผลิตจากไทย เป็นอินโดนีเซีย แหล่งข่าวกล่าวว่า ต้นตอของข่าวที่เกิดขึ้น น่าจะมาจากการให้สัมภาษณ์ของนายเคียวอิจิ ทานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในฐานะประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ช่วงเดือนม.ค. ที่ระบุว่า หากไทยเกิดปัญหายืดเยื้อด้านการเมืองไปนานๆ ก็อาจจะมีผลต่อการลงทุนใหม่ๆ ที่ต้องชะลอการพิจารณาออกไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยมีเป้าหมาย คือ ต้องการเห็นการเมืองสงบโดยเร็ว ไม่ได้หมายถึงจะมีการย้ายฐานการผลิต นอกจากนี้ ในส่วนของ โตโยต้า เอง ก็พบว่าตามแผนงานในปีนี้ไม่มีแผนการขยายลงทุนใหญ่ๆ แต่อย่างใด เนื่องจากโครงการต่างๆ ดำเนินการแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน เกตเวย์ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับการผลิตรถอีโค คาร์ การฟื้นโรงงาน ไทยออโต้เวิร์คส์ ที่พระประแดง เพื่อเดินสายการผลิตรถตู้ หรือการลงทุน 6,000 ล้านบาท ขยายการผลิตในโรงงานบริษัท สยาม โตโยต้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เพื่อเพิ่มการผลิตเครื่องยนต์ แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ การที่ปัจจุบันไทยสามารถเดินหน้าคณะกรรมการบีโอไอชุดใหม่ได้ ก็จะทำให้แผนการลงทุนต่างๆ ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ชี้เอสเอ็มอีญี่ปุ่นรอลงทุนไทย นายสมเกียรติ ชูพรรคเจริญ นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสมาคมประสานงานกับญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง มีการเดินทางไปเจรจาอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทำให้ได้รับข้อมูลที่ยืนยันว่าไทยยังเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอา เซียน หรือ เออีซี แม้จะมีปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นก็ตาม รวมไปถึง อุตสาหกรรมในหลายประเทศเติบโตขึ้น เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียดนาม “เขาพัฒนาขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งก็คือ เราช้ากว่าที่ควรจะเป็นไป 5 ปี เนื่องจากเกิดปัญหาหลายอย่าง ทำให้ไม่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม หรือ การเมืองที่เกิดขึ้นมาหลายปี” อย่างไรก็ตาม จากการประสานงานกับนักธุรกิจญี่ปุ่น ก็พบว่ายังมีความสนใจเข้ามาลงทุนใน ไทย โดยล่าสุดสมาคมฯ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ลงนามบันทึกความเข้าใจกับจังหวัด ยามานาชิ และโทโทริ ของญี่ปุ่น ในความร่วมมือ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งการส่งวิศวกรเข้ามาฝึกอบรมพนักงานในไทย และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเตรียมรับการผลิตของญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีแนวคิดว่าจะเข้ามาลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องมือแพทย์ รวมมูลค่า 5 หมื่นล้านบาท “ญี่ปุ่นไม่ได้กังวลกับปัญหาการเมืองมากนัก เพราะว่ามีผู้ประกอบอยู่ในไทยจำนวนมาก ดังนั้น จึงได้ข้อมูลโดยตรง ทำให้มองเห็นถึงสถานการณ์ และโอกาสได้ชัดเจนกว่า” ญี่ปุ่นหนุนเอสเอ็มอีออกนอกประเทศ นายสมเกียรติ กล่าวว่า สมาคมต้องการเห็นการเมืองสงบ โดยเร็ว เพราะเห็นว่าไทยมีโอกาสรออยู่มาก โดยเฉพาะนโยบายของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ที่ต้องการผลักดันให้ผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ออกไปค้าขายต่างประเทศ 1 หมื่นบริษัท ภายใน 5 ปี เนื่องจากต้นทุนการผลิตในประเทศสูง ดังนั้น หากการเมืองไทยนิ่ง จะยิ่งเพิ่มแรงดึงดูดมากขึ้น ก่อนหน้านี้ นายสุทธิศักดิ์ วิลานันท์ ผู้อำนวยการโครงการ บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด กล่าวว่า การเดินทางโรดโชว์ที่ญี่ปุ่นเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้รับรู้ว่า มุมมองของญี่ปุ่นที่มีต่อไทยนั้น ยังดีอยู่มาก และที่สำคัญไม่มีใครกังวลกับสถานการณ์การเมือง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่อุตสาหกรรมนั้นต้องวางแผนกันในระยะยาว และเห็นว่าไทยแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค และมีความพร้อมในส่วนอื่นๆ รองรับ เช่น ระบบโลจิสติกส์ ภูมิศาสตร์ รวมไปถึงวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาก นอกจากนี้ ยังได้เจรจากับผู้ประกอบการในเมืองอุตสาหกรรมใหม่ อย่าง นากาโน และซันโจ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนขนาดเล็ก มีความละเอียดสูง (Hi Precision) โดยคาดว่า จะมีผู้เข้ามาลงทุน 200 ราย เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท
ข้อมูลจาก กรุงเทพ ธุรกิจ |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|