รายงานของสำนักข่าวเกียวโดซึ่งถูกเผยแพร่ในช่วง คืนวันจันทร์ (12) ที่ผ่านมาระบุว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น และจาวาด ซาริฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านการลงทุน ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการแพทย์ ระหว่างทั้งสองประเทศที่กรุงเตหะราน อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเตหะรานเปิดเผยว่า จุดมุ่งหมายที่รัฐบาลโตเกียวให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำข้อตกลงกระชับความ สัมพันธ์กับอิหร่านในครั้งนี้คือ ความสำเร็จในการที่ญี่ปุ่นสามารถโน้มน้าวให้รัฐบาลอิหร่านยอมเปิดตลาดของตน ให้กับสินค้า “เมด อิน เจแปน” ตลอดจนการเข้าไปตั้งฐานการลงทุนในอิหร่านของภาคเอกชนจากแดนปลาดิบ ความเคลื่อนไหวล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากที่ประชาคมโลกยินยอมลด-เลิก มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลเตหะราน ภายหลังการบรรลุข้อตกลงประวัติศาสตร์ ในเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน มา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการสร้างหลักประกันว่าอิหร่านจะไม่นำเอาเทคโนโลยีด้าน นิวเคลียร์ของตนไปผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีรายงานว่านายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นและประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีแห่งอิหร่าน ได้พบหารือกันนอกรอบที่มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ระหว่างที่ผู้นำทั้งสองเดินทางไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชา ชาติ และผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องให้เร่งมีการทำข้อตกลงกระชับความร่วมมือทาง เศรษฐกิจ ระหว่างโตเกียวและเตหะรานในเร็ววัน ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์จากสื่อหลายสำนักในญี่ปุ่นต่างลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า นอกเหนือจากบริษัทเอกชนญี่ปุ่นจะสามารถเดินหน้าบุกตลาดอิหร่านที่มีผู้ บริโภคมากกว่า 78 ล้านคนแล้ว ผลของข้อตกลงกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอิหร่านในคราวนี้ยังจะเปิดทาง ให้ญี่ปุ่น ซึ่งต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนที่มี ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมหาศาลของอิหร่านได้อย่าง สะดวกโยธิน
ข้อมูลจาก ผู้จัดการ ออนไลน์
|