ในที่สุดนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ได้ผลักดันกฎหมายสองฉบับที่จะเปลี่ยนรูปแบบของนโยบายการป้องกันประเทศและ บทบาทของกองกำลังป้องกันประเทศญี่ปุ่นผ่านสภาสูงได้เรียบร้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ญี่ปุ่นไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมีนโยบายความมั่นคงเชิงรุกในลักษณะนี้ แสดงถึงความพร้อมของญี่ปุ่นที่ “ลุย” ในกรณีมีสงครามเกิดขึ้น หรือในสถานการณ์ความขัดแย้งต้องใช้อาวุธ กองทัพญี่ปุ่นตอนนี้ต้องพร้อมเข้ามาช่วยพันธมิตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งความความมั่นคงร่วมกัน ต้องยอมรับว่านายกฯ คนนี้ไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้นหนักแน่นมาก ต้องการผลักดันในเรื่องนี้อย่างเดียว ประชาชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีอาเบะได้ออกมา ประท้วงมากมาย สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนพบว่า ส่วนใหญ่คิดว่า สภาไม่ได้ใช้เวลาอภิปรายประเด็นนี้เพียงพอ ก่อนจะผ่านกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ ส่วนฝ่ายรัฐบาลซึ่งคุมเสียงข้างมากในสภาโต้ว่า ตามจริงรัฐบาลสามารถผ่านกฎหมายทั้งสองฉบับนี้ได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีการอภิปราย แต่รัฐบาลใจกว้างเปิดโอกาสให้เวลาถึง 95 วัน ในการอภิปราย รายงานวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา มุ่งไปที่สองสาเหตุคือ 1.ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้นำหนุ่มของเกาหลีเหนือคิม จอง อิล ที่ได้แสดงความอหังการออกมาเป็นประจำ เน้นอยู่เสมอว่าจะใช้ขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ทำลายล้างญี่ปุ่นและสหรัฐ อเมริกาให้สิ้นสลายจากโลกนี้ เกาหลีเหนือถือเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของญี่ปุ่น ขณะนี้มีความพยายามจะผลักดันให้มีการรื้อฟื้นการเจรจาหกฝ่ายหลังจากที่ว่าง เว้นมา 7 ปี ทางรัฐบาลจีนพยายามมากในการผลักดันเรื่องนี้ ถือว่าเป็นทางออกของเกาหลีเหนือ ที่ถูกโดดเดี่ยวโดยประชาคมโลก เนื่องจากมีการทดลองขีปนาวุธนิวเคลียร์ถึง 3 ครั้ง ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ภัยคุกคามที่สองคือแสนยานุภาพจีนทุกมิติที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะกองทัพเรือจีน และการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านขีปนาวุธ ทำให้ญี่ปุ่นต้องหันมาปรับนโยบายป้องกันประเทศอย่างเร่งด่วน ข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นบริเวณเกาะเตียวหยูนั้น ทำให้สัมพันธ์ทวิภาคีที่ผ่านมาเลวร้ายลง มีผลกระทบกระเทือนทางด้านเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เรียกได้ว่าเจ็บตัวทั้งสองประเทศ ผู้เขียนได้ติดตามประเด็นนี้และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักวิชาการ หลายท่านของญี่ปุ่นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา พอจะสรุปได้ว่า เบื้องหลังความพยายามของอาเบะมีหลายสาเหตุ สาเหตุหลักคือ ญี่ปุ่นต้องการแสดงให้สหรัฐอเมริกาเห็นถึงความพร้อมของพันธมิตรในเรื่องความ มั่นคง คือมีขีดความสามารถด้านความร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญญี่ปุ่นห้ามกองกำลังญี่ปุ่นสู้รบนอกประเทศ นอกจากป้องกันตัวเองตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียเป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้เพิ่มบทบาทตัวเองทางด้านส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในกรอบต่างๆ ขององค์การสหประชาชาติ เช่น เข้าร่วมในกองกำลังรักษาสันติภาพในกัมพูชาเป็นต้น พูดง่ายๆ คือญี่ปุ่นต้องการบอกพันธมิตรว่า ตอนนี้สามารถเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ ในที่นี่หมายถึงสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย สาเหตุที่สองคือ ญี่ปุ่นพยายามหาทางเลือกใหม่ทางด้านความมั่นคง เพื่อประกันอนาคตตัวเอง ญี่ปุ่นลึกๆ รู้ดีว่า สัมพันธ์จีนกับสหรัฐอเมริกานั้นมีผลประโยชน์มากมายกว่ามาก ฉะนั้นญี่ปุ่นต้องหาหลักประกันเพิ่มนอกเหนือจากกรอบความมั่นคงที่มีอยู่กับ สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนๆ ในเอเชียคือ อาเซียน และอินเดีย เป็นต้น จึงไม่แปลกใจ สอง-สามปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้เสริมสร้างสัมพันธ์ความมั่นคงกับเวียดนามและ ฟิลิปปินส์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางด้านเพิ่มสมรรถภาพกองทัพเรือ ญี่ปุ่นพร้อมให้ความช่วยเหลือเรือลาดตระเวนและเครื่องมือสื่อสารทันสมัยให้ แก่ทั้งสองประเทศ ส่วนไทยนั้นยังกล้าๆ กลัวๆ เพราะเกรงใจจีนอยู่ รัฐบาลญี่ปุ่นอยากจะมีความร่วมมือกับไทยทางด้านความมั่นคงทางทะเลมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ กับผู้นำญี่ปุ่นอดีตนายกรัฐมนตรีโตชิกิ ไคฟู เคยมีการตกลงที่จะมีการลาดตระเวนร่วมกันในอ่าวไทย อย่างไรก็ดี ไทยต้องเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากไทยมีสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและญี่ปุ่น จะทำอย่างไรจึงสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์แบบนี้ ต้องทำการบ้านให้หนัก
ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|