ไอเอ็มเอฟระบุในรายงานล่าสุดว่า เศรษฐกิจเอเชียซึ่งจะมีอัตราการขยายตัว 5.6% ในปีนี้ยังคงสามารถที่จะเป็นตัวหนุนนำการเติบโตของทั่วโลก ทั้งนี้ถึงแม้จีนจะชะลอตัว แต่ก็ได้ชดเชยจากการฟื้นตัวในอินเดียและญี่ปุ่น นอกจากนั้นรายงานยังระบุว่า ภาคธุรกิจและภาคผู้บริโภคของไทย จีน และญี่ปุ่น ต่างจะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันขาลง เมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ค.) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยแพร่รายงานทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกฉบับล่าสุด ซึ่งระบุคาดการณ์ว่า ภูมิภาคนี้จะมีอัตราเติบโต 5.6% ในปีปัจจุบัน ก่อนชะลอลงเล็กน้อยอยู่ที่ 5.5% ในปีหน้า รายงานบอกว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของเอเชีย มีอัตราเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 5.5% ในปี 2014 ที่ผ่านมา จากที่ทำได้ 5.9% ในปี 2013 โดยมีแนวโน้มชะลอลงตามเศรษฐกิจจีน ซึ่งเข้าสู่ช่วงการเติบโตอย่างยั่งยืนแทนการเติบโตอย่างร้อนแรงในอัตราเลข 2 หลักในตลอด 10 ปีหลังมานี้ ดังจะเห็นได้จากจีดีพีในไตรมาสแรกของปีนี้ก็อยู่ที่ระดับ 7% ชางยอง รี ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชีย-แปซิฟิกของไอเอ็มเอฟ แถลงว่า อัตราเติบโตปัจจุบันของจีนสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทางกองทุนฯ แต่ถึงแม้เป็นการชะลอตัวโดยตั้งใจ ก็อาจส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ อยู่ดี รีชี้ว่า ระดับหนี้ที่เพิ่มพูนขึ้นและการชะงักงันในตลาดการเงิน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตต่อไปของแดนมังกร อย่างไรก็ดี ความพยายามของผู้คุมกฎการเงินจีนในการเข้าควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย เงินที่กู้ยืมมา ตลอดจนการเข้าควบคุมพวกกองทุนรวมประเภท umbrella trust ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี สำหรับในภาพรวม รายงานประเมินว่า ราคาน้ำมันที่ถูกลงอาจช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ 0.3-0.7% ในปีนี้ และแม้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะประสบปัญหาจากรายได้ที่ลดลง แต่ประเทศอย่างญี่ปุ่น จีน และไทย จะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันขาลงทั้งในแง่ธุรกิจและการบริโภค อัตราการเติบโตของประเทศต่างๆ ภายในเอเชียในปีนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก เริ่มจาก 8.3% สำหรับพม่า, อินเดีย 7.5%, จีน 6.8% และญี่ปุ่น 1% ญี่ปุ่น ประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก รองจากอเมริกาและจีน แสดงสัญญาณการฟื้นตัวจากภาวะถดถอยเมื่อปีที่แล้วภายหลังการขึ้นภาษีการขาย จาก 5% เป็น 8% ไอเอ็มเอฟระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะยังคงเติบโตพอประมาณ แต่อาจปรับตัวมากขึ้นหากรัฐบาลใช้นโยบายเชิงรุกเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการ ผลิต ผ่านการปรับปรุงกฎหมายและบรรษัทภิบาล ส่วนจีน แม้มีการชะลอตัว แต่ยังถือเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักสำหรับเศรษฐกิจโลก รีระบุว่า การปฏิรูปของจีนซึ่งมุ่งหมายให้ภาคเศรษฐกิจที่พึ่งพิงรัฐมีผลผลิตมากขึ้น จากการบริโภคภายในและภาคบริการที่แข็งแกร่งขึ้น ควบคู่กับการลดการพึ่งพิงการค้าและการพึ่งพิง เป็นมาตรการที่สำคัญต่อการเติบโต โดยหากจีนดำเนินแผนการปฏิรูป ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างวินัยทางการเงินของรัฐบาล และการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เสร็จสมบูรณ์ จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเพิ่มขึ้น 5% ในปี 2020 เทียบกับอัตราเติบโตโดยปราศจากการปฏิรูป
ข้อมูลจาก ผู้จัดการ ออนไลน์
|