สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นสองประเทศมหาอำนาจมีกำลังเศรษฐกิจและอำนาจการเมือง เพียงพอที่จะสร้างแรงถ่วงดุลอำนาจกับจีน บรรดาเหล่าพันธมิตรที่สหรัฐอเมริกาเคยมีในอดีตต้องหันหน้าสนใจปัญหาภายใน บ้านตัวเอง เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เป็นต้น จึงไม่แปลกใจที่สหรัฐอเมริกาต้อนรับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชิโซ อาเบะอย่างเต็มที่ในอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของประเทศทั้งสองที่ฝากผีฝากไข้กันมานานกว่า 7 ทศวรรษ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการปรับปรุงความร่วมมือทางด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศให้ตอบสนองความ ต้องการในยามที่มีสงครามหรือความขัดแย้ง คือญี่ปุ่นสามารถส่งกำลังทางด้านยุทโธปกรณ์และกองบำรุงทางด้านอื่นๆ ในอดีตรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมีข้อห้ามไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับภาวะความขัดแย้ง ทุกชนิด หลังอาเบะเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สามในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มขีดความสามารถของกองกำลังป้องกันประเทศญี่ปุ่นให้มีความคล่องตัวมาก ขึ้นในการใช้กำลังและช่วยเหลือพันธมิตร จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการตีความหมายในรัฐธรรมนูญที่มีขอบเขตความรับผิดชอบ ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศในช่วงนี้ สัมพันธ์ทั้งสองประเทศนี้มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างบรรทัดฐานทางด้านธร รมาภิบาล นิติรัฐระหว่างประเทศและกรอบความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง มันเป็นจุดขายของทั้งสองประเทศ เพื่อสู้กับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและโครงการคมนาคมในรูปแบบต่างๆ เช่น เส้นทางสายไหมใหม่ทั้งทางบกและทางทะเล เป็นต้น แต่ญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกายังหาทางออกในเรื่องการค้าสินค้าเกษตรกรรมและ เนื้อสัตว์ยังไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องข้าว น้ำตาล และเนื้อวัว-สุกร ทางสหรัฐอเมริกาต้องการให้ญี่ปุ่นเปิดทั้งสองตลาดนี้ แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยินยอมเพราะเท่ากับทำลายฐานเสียงของพรรคแอลดีพี ซึ่งได้ให้การสนับสนุนพรรคนี้มาตลอด มันจึงเป็นโจทย์ใญ่ที่ทั้งสองประเทศต้องหาทางลงให้ได้ การเจรจาการค้าหุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิก (Trans Pacific Partnership-TPP) ยังคงดำเนินต่อไป มีการคาดเดาว่าจะสำเร็จลงได้ภายในปีนี้ โอบามาตอนนี้ยังไม่สามารถขออำนาจพิเศษจากสภาคองเกรสได้ ยังต้องมีต่อรองระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันก่อน ช่วงที่ประธานาธิบดีจอร์จ บุชอยู่ สภาคองเกรสได้ให้อำนาจพิเศษในการเจรจาการค้าในการเจรจากับประเทศต่างๆ ตอนนั้นรวมทั้งไทยด้วย แต่บังเอิญตอนนั้นติดเรื่อสิทธิบัตรยา อาเซียนก็ยังมีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่าง 16 ประเทศ (Regional Comprehensive Economic Cooperation Partnership-RCEPT) ซึ่งมีทั้งจีนและญี่ปุ่นเป็นโต้โผใหญ่อยู่ อินเดียน่าจะมีส่วนทำให้การเจรจาเดินหน้าได้เร็วกว่านี้ แต่ก็ยังไม่มีท่าที เช่นยอมเปิดตลาดให้กว้างกว่านี้ ถ้ากรอบการค้าทีพีพี สามารถเจรจาได้สำเร็จภายในปีนี้อย่างที่โอบามาเปรยไว้ มันจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้แน่นอน อาจทำให้สมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาต้องพยายามหาข้อตกลงโดยเร็วในกรอบความร่วม มืออาร์ซีอีพีทีอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ในปี 2000 อาเซียนตัดสินใจเร่งให้กรอบความร่วมมือการค้าเสรีอาเซียนเร็วขึ้นมาเป็นปี 2015 เพราะว่าเอเปคตัดสินใจลดกำแพงภาษีการค้าระหว่างสมาชิก อาเซียนเลยต้องปรับตัวเองกลัวว่าจะล้าหลังและพัฒนาความร่วมมือทางด้าน เศรษฐกิจไม่ทัน ขณะนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นรู้สึกระส่ำระส่ายมาก สืบเนื่องจากจีนมีท่าทีเชิงรุกมากขึ้นในทุกๆ ด้าน มีความจำเป็นทั้งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นต้องเติ่มพลังให้มิตรภาพมีความแน่น แฟ้นยิ่งขึ้น แต่ปัญหาของสหรัฐอเมริกายังมีอยู่คือ ท่าทีเกาหลีใต้ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐอเมริกา มีทหารจีไอประจำการกว่า 3 หมื่นคน ในขณะนี้เกาหลีใต้ไม่คุยกับญี่ปุ่นเนื่องจากข้อพิพาทเกาะในทะเลญี่ปุ่นจน กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาต้องเข้ามาช่วยให้มีการพูดจากัน ในอนาคตสหรัฐอเมริกาต้องเสริมสร้างพันธมิตรทั้งหลายให้มีความเข้มข้น ซึ่งต้องรวมถึงไทยด้วย ขณะนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก
|