ในวันนี้(5)เกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กขึ้นในโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ในทาง ตะวันตกของญี่ปุ่น แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเกิดเหตุกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล โฆษกของโรงงานนิวเคลียร์เผย ด้ารัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ญี่ปุ่น โทชิมิตซุ โมเทกิ ได้เปิดเผยเมื่อวานนี้(4)ว่า ยังไม่มีทิศทางเปลี่ยนแปลงในด้านการค้าและการทูตระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย เครื่องแปลงไฟเกิดประกายไฟลุกไหม้ในโรงปฎิกรณ์นิวเคลียร์ที่ 3 ที่ตั้งอยู่ภายในโรงงานไฟฟ้าทาคาฮามะในฟูคูอิ โฆษกของบริษัทคันไซอิเลกทริก เพาเวอร์ และเสริมว่า ประกายเพลิงสามารถถูกดับลงได้ในเกือบทันที “ไม่มีใครบาดเจ็บและไม่มีผลกระทบใดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นต้นว่า ไม่มีการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีไปสู่ภายนอก” โฆษกคันไซอิเลกทริก เพาเวอร์เผยต่อ ซึ่งญี่ปุ่นได้ตื่นตระหนกกับปัญหาพลังงานนิวเคลียร์มาตั้งแต่เกิด เหตุการณ์วิกฤตโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะขึ้นในเดือนมีนาคม 2011 และในขณะนี้ยังไม่มีโรงปฎิกรณ์นิวเคลียแห่งไหนในจำนวน 50แห่งที่รวมถึงโรงงานไฟฟ้าทาคาฮามะเปิดเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ต้องการที่จะให้โรงปฎิกรณ์นิวเคลียร์สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้ง โดยถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดด้านพลังงานของประเทศในการลดการพึ่งพาจาก การนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงในรูปแบบอื่น เช่น ต้องพึ่งพาแก๊สธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งเป็นจำนวนแก๊สธรรมชาติถึง 10% จากจำนวนทั้งหมดที่นำเข้ามา และจากการที่สหรัฐฯซึ่งเป็นมหามิตรของญี่ปุ่นได้ประกาศที่จะคว่ำบาตร ทางเศรษฐกิจกับรัสเซียเนื่องมาจากปัญหายูเครนทำให้ญี่ปุ่นกังวลในความ สัมพันธ์ระหว่างโตเกียวและมอสโกที่ญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพาด้านพลังงาน โดยในวันอังคาร(4) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ญี่ปุ่น โทชิมิตซู โมเทกิ ได้เปิดเผยว่า ยังไม่มีทิศทางเปลี่ยนแปลงในด้านการค้าและการทูตระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย แต่จากแหล่งข่าวใกล้ชิดทางการต่างประเทศของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า “แต่ในความเป็นจริง ทางโตเกียวยังอยู่ในภาวะช็อกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้” ซึ่งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระดับทวิภาคีของทั้ง 2 ชาติเกิดขึ้นผ่านผลประโยชน์ทางด้านพลังงาน จากที่รัสเซียมีแผนที่จะเพิ่มการส่งออกเป็น2เท่าของแก๊สธรรมชาติและน้ำมันมา ยังเอเชียในอีก 20 ปีข้างหน้า และญี่ปุ่นต้องอยู่ในภาวะจำยอมที่ต้องนำเข้าพลังงานจากรัสเซียเป็นจำนวนมาก เพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปเนื่องจากวิกฤตโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ “หากชาติตะวันตกร่วมตกลงใจที่จะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซียจริง ญี่ปุ่นอาจต้องได้รับผลกระทบไปด้วย”เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารระดับสูงในบริษัท ญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับภาคพลังงานของรัสเซียกล่าว และเสริมว่า “ไม่รู้ว่าขณะนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นปกติที่ภาคพลังงานจะเป็นที่ถูกจับตามากที่สุด” นับตั้งแต่อาเบะกลับเข้าสู่อำนาจเมื่อ 1 ปี 3 เดือนก่อนหน้านั้น เขาได้เร่งกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียเป็นลำดับแรก และได้พบกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ถึง 5 ครั้ง โดยในเดือนเมษายน 2013 ถือเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้รับตำแหน่ง และถือเป็นผู้นำของประเทศคนแรกที่พบกับผู้นำรัสเซียในรอบหลายสิบปี ถึงแม้ญี่ปุ่นและรัสเซียยังคงมีข้อพิพาทดินแดนย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 แต่ในทางกลับกันอาเบะไม่พบกับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างจีน และเกาหลีใต้ ที่ต่างมีข้อพิพาทดินแดนกับญี่ปุ่นเช่นกัน นอกจากนี้ในวันพุธ(5)รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ฟูมิโอะ มิชิดะ เปิดเผยว่า ไม่มีกำหนดการทางการทูตเปลี่ยนแปลงกับรัสเซีย แต่ญี่ปุ่นจะจับตาอย่างใกล้ชิดต่อต่อสถานการณ์ในยูเครน ซึ่งอาเบะกล่าวว่าจุดยืนของญี่ปุ่นจะถูกกำหนดหลังจากที่ได้มีการพิจารณาความ สัมพันธ์อย่างรอบด้านระหว่างสหรัฐฯ รัสเซีย และประชาคมนานาชาติ ในขณะนี้ญี่ปุ่นบริโภคแก๊สธรรมชาติถึง 1ใน3ของจำนวนทั้งหมดที่ส่งออกในโลกนี้ และ 10% ของแก๊สธรรมชาติที่สั่งซื้อจากจำนวนทั้งหมดนั้นมาจากทางภาคตะวันออกของรัส เซียที่มีพรมแดนติดกับญี่ปุ่น นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเพิ่มขึ้นเกือบ 45% ในปี 2013 และถือเป็น 7% ของน้ำมันดิบที่ญี่ปุ่นสั่งเข้ามา ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นชาติลำดับที่ 4ในการนำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก
ข้อมูลจาก ผู้จัดการ ออนไลน์
|