ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกซื้ออย่างชาญฉลาด ละเอียดรอบคอบ และคำนึงถึงคุณภาพ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหากมีผู้ผลิตสินค้า ช่วยคัดสรรมาให้เป็นอย่างดี ในระดับที่พร้อมการันตีคุณภาพจนมั่นใจและอุ่นใจเสมอ ล่าสุด ซิซซ์เล่อร์ ได้คัดสรรเอาผลผลิตพันธุ์ดีของฟักทองญี่ปุ่น (Japanese Pumpkin) พืชผักสวนครัวที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมาให้บริการในร้าน และเป็นที่มาของการชักชวนคนดังตระเวนเยี่ยมชมแหล่งเพาะปลูกภายในศูนย์พัฒนา โครงการหลวงหมอกจ๋าม บ้านห้วยศาลา ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งนำทีมโดย นงชนก สถานานนท์ ผู้ช่วยรองประธานบริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เอส แอล อาร์ ที จำกัด ผู้บริหารร้านซิซซ์เล่อร์ และ อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ฐิติพงษ์ ล้อประเสริฐ รพีพร วงศ์ทองคำ ศิรนุช โรจนเสถียร นาขวัญ รายนานนท์ ฯลฯ นงชนก กล่าวว่า ซิซซ์เล่อร์ ยังคงเป็นร้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่ยึดถือแนวทางอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างต่อ เนื่อง และนี่คือเหตุผลที่ต้องพยายามคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นดี ที่มีประโยชน์และให้คุณค่าทางอาหารสูงแก่ผู้บริโภค ปลอดภัยและมีรสชาติดี คู่ควรกับการนำมาเสิร์ฟบริการให้ลูกค้าทุกๆ คนบนโต๊ะอาหารเสมอ ซึ่งนับจากนี้ ลูกค้าก็จะได้อิ่มอร่อยกับผลฟักทองญี่ปุ่นอวบแน่นที่เดินทางไกลจากผืนดิน โครงการหลวงอันอุดมสมบูรณ์ของจ.เชียงใหม่ “วันนี้ เรากล้าพูดได้อย่างมั่นใจในเรื่องวัตถุดิบการผลิตอาหารที่ไม่เป็นรองใคร นั่นเพราะเราทุ่มเทอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในการบริโภค อาหารทุกชิ้น ทุกคำที่ตักเข้าปากจะส่งผลถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตทุกคน ซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกของสังคมส่วนรวม ยิ่งทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง สังคมก็ยิ่งแข็งแกร่ง นั่นคือความรับผิดชอบที่ซิซซ์เล่อร์คำนึงถึงเสมอมา และจะยังคงยึดมั่นตลอดไป” ด้าน วิโรจน์ ชูดำ หัวหน้าศูนย์โครงการหลวงบ้านเงาะ เล่าถึงกระบวนการอันเข้มงวดก่อนที่ฟักทองญี่ปุ่นคุณภาพจะถูกส่งไปถึงผู้ บริโภคว่า โครงการหลวงมีการผลิตฟักทองใน 3 พื้นที่ใหญ่ๆ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหมอกจ๋าม วัดจันทร์ และมัดเงาะ ซึ่งในปีนี้ ผลิตฟักทองญี่ปุ่นให้โครงการหลวงได้ถึง 250-300 ตันต่อปี ฟักทองญี่ปุ่นนี้สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่มีคุณภาพดีที่สุดคือระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเมษายน เนื่องจากฟักทองญี่ปุ่นเป็นพืชล้มลุกจึงปลูกได้ครั้งเดียว เมื่อเก็บผลผลิตแล้วก็ต้องปลูกใหม่ กระบวนการปลูกจะได้รับการควบคุมอย่างละเอียดตั้งแต่การตรวจพื้นที่โดยต้อง ผ่านการรับรองการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญก่อน จึงจะนำกล้าที่เพาะแล้วมาปลูกลงไปในดินได้ ทุก15-20 วันจะมีการใส่ปุ๋ย โดยจะเก็บผลผลิตได้ในระยะเวลา 100-110 วัน ฟักทองญี่ปุ่นจึงจะมีคุณภาพดี "ไม่เพียงมีรสชาติหวานมันอร่อย นำมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวานได้หลากหลายประเภท แต่ฟักทองญี่ปุ่นยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุฟอสฟอรัส ที่สำคัญคือมีสารเบตาแคโรทีนที่มีส่วนลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยบำรุงตับ ไต ตา และสร้างเซลล์ที่ตายไปขึ้นมาใหม่ ป้องกันการเกิดนิ่ว และใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืดได้ และฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอด ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และช่วยลดการเกิดท้องลายอีกด้วย" หัวหน้าศูนย์โครงการหลวงบ้านเงาะ กล่าว
ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|