ในภาวะปกติเราจะใช้ไขควงวัดไฟ ตรวจสอบไฟรั่วได้ แต่เราต้องเอานิ้วแตะด้ามปลายของไขควง ถ้ามีไฟรั่วก็มีแสง นีออนสว่างออกจากไขควง และตัวเราจะต้องแห้งไม่เปียกน้ำ แต่ในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้การไขควงวัดไฟแบบเดิมนี้ก็จะไม่สะดวกและอาจมี อันตรายได้ เพราะตัวเราอาจจะต้องแช่น้ำและการที่จะเอานิ้วไปแตะด้านปลายที่เป็นโลหะก็ อาจจะไม่ปลอดภัยได้ |
และนำขาทั้งสองข้างนั้นไปต่อกับแผ่นทองแดง |
นำแผ่นทองแดงที่มี LED ไปจุ่มในน้ำจนมิด และปล่อยกระแสไฟฟ้ารั่วลงไปในน้ำ ก็จะทำให้ LED ทั้งสองดวงนี้ติดสว่างได้เอง |
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีกระแสรั่วในน้ำนั้นก็ทำให้ LED ติดสว่างได้เอง แสดงว่ามีไฟรั่ว |
วิธีการทำดังนี้
เอากระป๋องน้ำอัดลมเปล่าตัดออกเป็นแผ่น |
เนื่องจากสีและด้านที่บรรจุน้ำถูกเคลือบด้วยสารซึ่งสารนี้จะเป็นฉนวนไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องขัดออกด้วยกระดาษทรายทั้งสองด้านเพื่อให้หน้าสัมผัสเป็นเนื้อ อลูมิเนียมทั้งสองหน้า
นำแผ่นทั้งสองแผ่นนั้นไปรัดด้วยข้อรัด และ รัดติดกับสายไฟ ที่ท่อน้ำ PVC โดยให้สองแผ่นนั้นห่างกันประมาณ 4 – 6 ซม.แล้วต่อสายไฟไปเข้ากับ LED 2 หลอด ที่ได้เตรียมไว้ โดยเผื่อให้สายยาวประมาณ 50 ซม. |
สายไฟที่ต่อจาก LED ก็พันให้แน่นติดกันและใช้เทปพันทับอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องบัดกรี หรือจะบัดกรีก็ดียิ่งขึ้น |
สายเผื่อออกมา ประมาณ 50 ซม. จากนั้นก็นำ LED ยัดเข้าไปในท่อ ก็ทำให้ LED อยู่สูงจากท่อประมาณ 50 ซม. การที่นำ LED เข้าไปในท่อเพราะ แสงจาก LED อาจจะสว่างน้อยถ้ามีไฟรั่วเพียงเล็กน้อย และแสงแดดจากภายนอกจะรบกวน ทำให้อาจจะมองไม่ชัด แต่เมื่อนำ LED เข้าไปในท่อและมองแสงจากอีกปลายหนึ่ง ก็จะทำให้มองเห็นแสง LED สว่างได้ชัดเจน และถ้าหากน้ำเป็นสีดำก็อาจจะบดบังแสงจาก LED ได้ ในกรณีนี้ก็อาจจะเพิ่มความยาวท่อ PVC เป็น 2.5 เมตรและเผื่อให้สายจาก LED เป็น 1 เมตร ซึ่งจะทำให้ตัวผู้วัดกับสายไฟ LED ห่างกัน 1.5 เมตรซึ่งยังคงเป็นระยะที่ปลอดภัย ในความเป็นจริงแล้ว โครงสร้างของ LED ก็กันน้ำอยู่แล้ว ถึงมันจะจมน้ำก็ยังให้แสงสว่างได้ แต่ว่าน้ำที่ท่วมขังอาจจะขุ่นหรือสีดำ จึงจำเป็นต้องให้หลอด LED ซึ่งอยู่ในท่ออยู่สูงพ้นระดับน้ำที่จะวัดจะได้มองเห็นแสงLEDได้ชัดเจน |
วิธีการนำไปใช้
นำด้านปลายจุ่มลงไปในน้ำที่สงสัยว่ามีไฟรั่วซึ่งอาจจะเป็นสวิทซ์ หรือ ปลั๊กไฟที่จมอยู่ในน้ำ แล้วมองเข้าไปในท่อ PVC สังเกตหลอด LED ว่าสว่างหรือไม่ ถ้าสว่างเป็นสีแดงก็แสดงว่ามีไฟรั่ว |
อาจารย์สกุล หิรัญเดช คณะวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|