การฆ่าตัวตาย ถือเป็นสิ่งที่ไม่ดี และบาปมากที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น หลายๆคนที่เลือกที่จะไม่สู้กับปัญหา และหนีปัญหาก็เลือกทางเดินดังกล่าว โดยส่วนมาก สถานที่ที่คนนิยมฆ่าตัวตายนั้นมักจะเป็นในสถานที่สำคัญหรือสวยงามของโลก มากกว่าจะฆ่าตัวตายอยู่ในบ้าน อย่างน้อยๆก็คงคิดว่าจะเป็นที่จดจำไว้ และนี้คือ 10 สถานที่ที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้คนที่เลือกที่จะแพ้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยนะครับ อาจารย์ขอให้ทุกๆคนลุกขึ้นมาสู้ปัญหา และเผชิญหน้ากับมัน ซักวันหนึ่ง ฟ้าหลังฝนก็ต้องเป็นของเรา
10. Niagara Falls
น้ำตก ไนแอการา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของแม่น้ำหลายสายรวมกัน ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา โดยสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ยอดนิยมนานกว่า ศตวรรษ เนื่องจากมีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ สวยงาม โรแมนติก ที่คู่รักหลายคู่ที่ชวนกันไปถ่ายรูปกับน้ำตกเป็นที่ระลึกในวันแต่งงาน และในขณะที่บางคนเลือกที่จะเป็นจุดฆ่าตัวตาย!! โดยจุดที่นิยมมากที่สุดคือ “Horseshoe Falls” ซึ่งเป็นจุดที่สูงสุด สูงกว่าตึก 16 ชั้นพร้อมด้วยกระแสน้ำก็เชี่ยวกราดแน่นอนว่าถ้าตัดสินใจโดดมาแล้วไม่รอดชัว ร์ จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีคนตายตัวตายในที่แห่งนี้ถึง 2780 คน(เท่าที่พบศพ) เฉลี่ยปีละ 23 คน 9. Cold Springs Canyon Bridge
มีหลายคนเชื่อว่าสะพานถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางระหว่างความเป็น ทางตาย หลายคนมักเลือกจบชีวิตความหวังของเขาด้วยการโดดลงสะพาน Cold Springs Canyon Bridge หลายคนคงไม่รู้จักสะพานนี้ และมันก็ไม่ได้ติด“10 สะพานฆ่าตัวตาย”ด้วย เอาเป็นว่ามันเป็นสะพานที่มีชื่อเสียงสำหรับฆ่าตัวตาย เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อให้รถขับผ่านภูเขาซันตา(Santa Ynez Mountains) เชื่อมกับเมืองซานตาบาร์บาราและเมือง Santa Ynez แค ลิฟอร์เนีย เปิดใช้บริการปี 1963 โดยคนที่เลือกจะฆ่าตัวตายนี้ก็เพราะวิวด้านข้างสวยและโรแมนติกมาก อีกทั้งพื้นด้านล่างหุบเขาลึกเป็นป่าและหินตายแน่นอน เฉลี่ยตายปีละสิบคน จนมีการถกเถียงว่าควรแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการใช้สถานที่แห่งนี้ฆ่าตัวตาย 9. Tour Eiffel
หอไอเฟล เป็นหอคอยเหล็ก สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887-9 ออก แบบโดยวิศวกรที่ มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล ตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส และสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย ด้วยความสูงกว่า 325 เมตรและโรมนติกดังนั้นมันจึงเป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมมาฆ่าตัวตายอย่างช่วย ไม่ได้ จากสถิตจนถึงปัจจุบันมีคนฆ่าตัวตายที่หอคอยนี้ทั้งหมด 350-400 คน การฆ่าตัวตายครั้งแรกคือการแขวนคอตนเองจากคาน และจากสถิต 90 ปีผ่านมา มีคนกว่า 369 คนพยายามฆ่าตัวตายโดยโดดจากที่สูงจาก 57 เมตรชั้นแรก 8. Bridgend
Bridgend เป็นเมืองเล็กๆ ประชากรแค่ 39,429 คน(สำรวจปี 2001) ในคาร์ดิฟฟ์ เวลส์ เป็นเมืองเก่าแก่ในประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวที่โรแมนติกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปราสาท สะพาน หอคอยที่เก่าแก่ขลัง จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เรามักได้ยินข่าวการฆ่าตัวตายของหนุ่มสาวบ่อยครั้งใน หลายปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยปีละ 23 คน อายุประมาณ 15-30 ฆ่าตัวตายในรูปแบบต่างๆ กัน จนสื่อของอังกฤษต้องรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการฆ่าตัวตาย 7. Las Vegas Strip
ลาสเวกัส เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมลรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ที่รู้จักกันคนทั่วโลก ในชื่อ “เมืองแห่งบาป” เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสี การพนัน และการฆ่าตัวตาย โดยผู้หมดหวังในชีวิตมักเข้ามาในเมืองแห่งนี้โดยการจองห้องพัก ก่อนที่จะฆ่าตายพวกเขาจะดื่มสุราและเล่นการพนันให้สนุกสุดเหวี่ยงในชีวิต และจบชีวิตตนเองในห้องพักของตนเองหรือ กระโดด ตึก และที่พบบ่อยก็คือทำทีขอตัวจากกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวและเขาก็ไม่กลับมาอีก เลย ที่น่าตะลึงคือข่าวเหล่านี้มักปกปิด ไม่ว่าจะเป็นทาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงาน โรงแรม บ่อนการพนัน ล้วนปกปิดข้อมูลนี้ทั้งหมดไม่ให้ปรากฏเป็นข่าวออกไปสู่สื่อสาธารณะ เนื่องจากเรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงและธุรกิจของเมือง 6. Sandanbeki
ซันดัมเบกิ เป็นหน้าผาสูงชันกว่า 50 เมตร อยู่ในเมืองวากายามิซึ่งในตำนานเล่าว่ามีถ้ำทะเลลับที่ซ่อนเรือโบราณเอาไว้ อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังมีชื่อเสียงสำหรับคนที่จะฆ่าตัวตาย เนื่องจากเป็นจุดที่มองทัศนียภาพที่สวยและดีที่สุดในญี่ปุ่นทำให้ได้ บรรยากาศอารมณ์เศร้าๆ อีกทั้งถ้าโดดลงไปไม่มีทางรอดแน่ๆ เพราะด้วยหน้าผาที่สูงชันและพื้นล่างเต็มไปด้วยโขดหิน คลื่นลมแรง ทะเล โดยผู้ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักเป็นคู่รักที่ไม่สมหวัง หรือคนเดียวโด่ๆ ก็ยังไหว จนสถานที่แห่งนี้ได้ขนานนามว่า “ดอกไม้ที่ตายแล้วจะไม่บานสะพรั่ง” 5. Sioux Falls
ซูฟอลส์ เป็น เมืองใหญ่ที่มีสถิตเติบเร็วที่สุดในประเทศอเมริกา ตั้งอยู่ในรัฐเซาท์ดาโคตา ถือว่าเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวและนันทนาการ เต็มไปด้วยสถานที่แปลกๆ สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ ที่ราบกว้างสวยงาม อีกทั้งในเมืองยังมีกิจกรรมดนตรี หอศิลป พิพิธภัณฑ์ แข่งกีฬา และเมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงในฆ่าตัวตาย โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละปีมีผู้มาในเมืองแห่งนี้ฆ่าตัวตายประมาณ 15-25 ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอเมริกันหนุ่มสาว ดังนั้นเมืองแห่งนี้เลยมีการจัดตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพและรักษาโรคและให้ความ สะดวกสบายแก่ผู้ที่รับการปรึกษาปัญหาชีวิตเพื่อแก้ทางออกไม่ให้ฆ่าตัวตาย 4. Beachy Head
เป็นแหลมหินชอล์กที่ตั้งอยู่ใน แฮสติ้ง อีสต์ซัสซิกซ์ บนชายฝั่งตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษ หน้าผาแห่งนี้ก่อรูปขึ้นด้วยหินปูนละเอียดเมื่อประมาณหนึ่งล้านปีก่อน จนมีหน้าผาสูงจากน้ำทะเลกว่า 530 เมตร ด้วยความสูงของมันทำให้หลายปีที่ผ่านมาสถานที่แห่งนี้จึงมีคนฆ่าตัวตายมาก ที่สุดเป็นในโลกเป็นอันดับสาม ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยกระโดดตนเองจากหน้าผาเฉลี่ยประมาณ 20 คนต่อปี ซึ่งข้างล่างเต็มไปด้วยโขดหินและน้ำทะเล ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายโดยการเดินเท้าหรือทางรถยนต์ ทำให้ทางการมีการตั้งทีมลาดตระเวนออกตรวจตาและตู้โทรศัพท์พิเศษเพื่อแจ้ง เหตุ และที่นี้เคยเป็นจุดฆ่าตัวตายช็อกโลกมาแล้วเมื่อคุณพ่อนีลชาวอังกฤษวัย 34 ปี และคุณแม่คาซูมิชาวญี่ปุ่นวัย 44 ปี ได้ตัดสินใจกระโดดพร้อมกันที่ประภาคารของชายหาดพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของ หนูน้อยแซมในเป้ใบใหญ่ เนื่องจากทั้งคู่รับไม่ได้ถ้ามีชีวิตอยู่โดยขาดลูกคนนี้ 3.The Gap, Australia
Gap เป็น เนินเขาและหน้าผาในเมืองบริสเบน รัฐควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย นอกเหนือจากหน้าผาที่สวยงามแล้วมันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความ นิยมมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากมายไม่ว่าเป็น สโมสรกีฬา ป่า ร้านอาหาร โรงแรม ช๊อปปิ้ง จึงไม่แปลกอะไรที่โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละปีมีคนถึง 50 คนกระโดดฆ่าตัวตายในที่แห่งนี้รวมไปถึงคนดังอย่างนักประกาศสาว Charmaine Dragun ที่ ฆ่าตัวในปี 2007 เนื่องจากสถาวะซึมเศร้าและอาการเบื่ออาหาร ทำให้สถานที่แห่งนี้ต้องติดตั้งกล้องรักษาความปลอดภัย โทรศัพท์ และรั้วสูงเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย 2.Aokigahara
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุดของโลก โดยสถานที่นิยมที่จะไปฆ่าตัวตายคือ อะโอกิงาฮาราเป็นป่าที่อยู่บริเวณภูเขาฟูจิในญี่ปุ่น โดยจุดที่ฆ่าตัวตายมากที่สุดจะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิที่เรียกว่า “ทะเลป่า” ซึ่งได้รับขนานนามว่าเป็นจุดฆ่าตัวตายอันดับสองของโลก สาเหตุเนื่องมาจากนิยายเรื่อง”Black Sea of Trees” ที่ เป็นนิยายที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับคนรักฆ่าตัวตาย ในตำนานก็ยังเล่าว่าเป็นจุดที่มีผีสิง ปีศาจปรากฏตัวจนกลายเป็นป่าแห่งความตาย นอกจากนั้นยังมีบุคคลที่ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก ครอบครัว ผู้สูงอายุ ส่วนสถิตการฆ่าตัวตายประมาณ 70 คนต่อไป ในปี 2002 พบว่ามีการพบศพคนฆ่าตัวตายที่ส่วนใหญ่จะเป็นการแขนคอถึง 78 ราย ซึ่งมากกว่าสถิตเดิมจาก 73 รายในปี 1998 และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่เสื่อมถอยและปัญหาการตกงาน 1. Golden Gate Bridge
สะพานโกลเดนเกต หรือสะพานประตูทองที่ต้อนรับผู้มุ่งมาซานฟรานซิสโก เป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อสะพานนี้สร้างเสร็จ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาและ กลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วไปโลก และนับตั้งแต่สะพานโกลเด้น เกท เปิดตัวเมื่อปี 1937 สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับคนอยากตายเพราะมีตัวเลขผู้มา ฆ่าตัวตายที่แห่งนี้มากกว่า 1,500 คน(เฉลี่ยปีละ 30 คน) ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนนิยมฆ่าตัวตายที่โกลเด้น เกตเนื่องจากสะพานอยู่สูงกว่าผิวน้ำถึง 227เมตร บวกกับกระแสน้ำที่ เชี่ยวกรากแล้ว ทำให้โอกาสที่จะได้ตายสมดังความตั้งใจนั้นสูงเฉียดร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ฆ่าตัวตายที่ให้ความรู้สึก โรแมนติกมาก แม้ทางการเองจะออกมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายบนสะพานหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะ ติดตั้งกล้องสอดส่องพฤติกรรมของคนบนสะพานตลอดความยาว 3 กิโล เมตรของโกลเด้น เกท การจัดเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบนสะพานอยู่ตลอดเวลา และยังมีโทรศัพท์สายด่วนบนสะพานให้คนที่ท้อแท้ใจโทรมาพูดคุยปรึกษาเจ้า หน้าที่ได้ด้วย แต่กระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้สถิตเหล่านี้ลดลงเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก เย็นตาโฟ เกริ่นนำโดย อาจารย์แบงค์ ดอท คอม |
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|