สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ว่า "เทสโก้"ยักษ์ใหญ่กิจการค้าปลีกของอังกฤษ ได้ประกาศยกเลิกการลงทุนดำเนินธุรกิจในญี่ปุ่น ซี่งเป็นตลาดแข่งขันการค้าปลีกที่ใหญ่สุดเป็นอันดับสามของโลก โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ทุ่มเงินลงทุนขยายกิจการของเทสโกเป็นเงินจำนวนกว่า 250 ล้านปอนด์ และนับเป็นความเสียหน้าของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกรายนี้ ซึ่งที่ผ่านมาใช้เวลากว่าทศวรรษ บุกตลาดและขยายสาขาในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ตุรกี จนถึงประเทศไทย โดยเมื่อปีที่แล้ว เทสโก้มียอดขายรวมเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านปอนด์ รวมทั้งในเกาหลีใต้ ไทย มาเลเซีย และจีน โดยนายฟิลิป คล้าคส์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเทสโก้ แถลงว่า หลังจากได้พยายามอย่างหนักในญี่ปุ่นแล้ว เทสโก้ตัดสินใจว่าจะสร้างธุรกิจในประเทศนี้อีกต่อไป และเทสโก้ตัดสินใจจะขายสาขาของเรา และมุ่งเน้นจะดำเนินธุรกิจค้าปลีกของเราที่ใหญ่กว่าในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียต่อไป รายงานระบุว่า ที่ผ่านมา เทสโก้ ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกรายแรกที่ประสบความล้มเหลวในการเจาะตลาดในแดนญี่ปุ่น เพราะก่อนหน้านี้ บริษัท"บู้ท แอนด์ เคมิสต์"และคาร์ฟูร์"ของฝรั่งเศส ก็ประสบความล้มเหลวเช่นนี้มาแล้ว โดยก่อนหน้านี้ เทสโก้ ได้ประเดิมเข้ามาตั้งกิจการในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิ.ย.ปี 2003 เป็นมูลค่า 173 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ระบุวา เทสโก้ ได้ประเมินตลาดอย่างญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดค้าปลีกใหญ่อันดับสามของโลกรองจาก สหรัฐ และจีน น้อยเกินไป โดยผู้เชี่ยวชาญของเทสโก้ระบุว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศยากลำบากอย่างแสนเข็ญที่จะดำเนินธุรกิจ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการมูลค่าสูง และความต้องการบริโภคสินค้าของผู้บริโภคอย่างสุดขีด โดยแม้แต่ผู้นำตลาดอย่าง"Aeon"และ"Ito Yokado"ยังต้องเผชิญสถานการณ์ต่อสู้เพื่อเพิ่มผลกำไร นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตลาดค้าปลีกในญี่ปุ่นมักดำเนินกิจการโดยครอบครัว โดยสังคมญี่ปุ่นจะมีร้านสะดวกซื้อครอบคลุมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะตามศูนย์กลางเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ ประเทศนี้ยังมีวัฒนธรรมนิยมบริโภคสินค้าจากตู้หยอดเหรียญให้บริการสินค้า ด้วย
ข้อมูลจาก มติชน ออนไลน์
|
< ย้อนกลับ | ถัดไป > |
---|